กว. จัดกิจกรรม KM Day 2568 ในรูปแบบนิทรรศการ ในหัวข้อ “การทำเหมืองและการใช้ประโยชน์จากแร่ทองคำ” ณ ห้องทองคำ ชั้น 1 กพร. เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม 2568 เวลา 09.00 – 12.00 ภายในงานได้มีการจัดแสดงนิทรรศการ เผยแพร่ให้ความรู้ รวมทั้งมีกิจกรรมร่วมสนุกตอบคำถามและการแจกของรางวัล ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้บริหารและบุคลากรของ กพร. เข้าร่วมกิจกรรมกว่า 115 ราย
ซึ่งมีหัวข้อองค์ความรู้โดยสรุป ดังนี้
1. การสำรวจแร่
ในบรรดาแหล่งแร่ทองคำที่ถูกค้นพบในประเทศไทย แหล่งแร่ทองคำ ‘ชาตรี’ ตั้งอยู่บนแนวแหล่งแร่ทองคำ เลย-เพชรบูรณ์-ปราจีนบุรี จัดเป็นแหล่งแร่ทองคำที่มีศักยภาพสูงสุดในบรรดาแนวแหล่งแร่หลักทั้ง 5 แนว แหล่งแร่ทองคำชาตรีเป็นแหล่งแร่ขนาดใหญ่ที่มีความสมบูรณ์ของแร่ทองคำค่อนข้างต่ำ มีการเกิดแบบแหล่งน้ำแร่ร้อนอุณหภูมิต่ำ โดยแร่ทองคำพบในสายแร่ควอตซ์ที่มีการเกิดในลักษณะร่างแห และแทรกตามรอยแตกของหินที่เกิดจากอิทธิพลของน้ำแร่ ร่วมกับแร่แคลไซต์-คลอไรต์-อะดูลาเรีย โดยแทรกตัดเข้ามาในชุดหินตะกอนภูเขาไฟที่แทรกสลับกับหินตะกอนยุคไทรแอสซิก
การสำรวจและพัฒนาโครงการเหมืองแร่ทองคำชาตรี เริ่มต้นจากการสำรวจแร่ในพื้นที่บริเวณเขาโม จังหวัดพิจิตรและเพชรบูรณ์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 โดยดำเนินการสำรวจทางธรณีวิทยา ธรณีเคมี และการเจาะสำรวจ จนสามารถยืนยันการมีอยู่ของทรัพยากรแร่ทองคำในเชิงพาณิชย์ และได้รับประทานบัตรดำเนินการผลิตครั้งแรกในปี พ.ศ. 2544 ต่อมามีการขยายโครงการในพื้นที่ Chatree North ในปี พ.ศ. 2551 ปัจจุบันอยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ในเชิงธรณีวิทยา แหล่งแร่ทองคำชาตรีจัดเป็นแหล่งแร่ชนิดอีพิเธอร์มัลแบบซัลไฟด์ต่ำ (Epithermal Low-Sulphidation Gold–Silver Deposit)
ในแนวหินภูเขาไฟลพบุรี–เพชรบูรณ์ โดยมีแร่ทองคำและเงินในรูปอิเล็กตรัมฝังอยู่ในเนื้อหินควอตซ์ คาร์บอเนต อะดูลาเรีย และคลอไรต์ พบในรูปแบบสายแร่ (vein) หินเศษเหลว (breccia) และระบบร่างแห (stockwork) ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2.5 × 7.5 กิโลเมตร และมีหลายโซนย่อยมากกว่า 8 โซน ปัจจุบันประเมินว่ามีทรัพยากรแร่ทองคำมากกว่า 3.8 ล้านออนซ์ และปริมาณสำรองประมาณ 1.2 ล้านออนซ์ การสำรวจแร่ในพื้นที่โครงการใช้วิธีการผสมผสานทั้งการทำแผนที่ธรณีวิทยา การสำรวจธรณีเคมี การสำรวจธรณีฟิสิกส์ การเจาะสำรวจแกนหิน รวมทั้งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การสำรวจภูมิประเทศด้วย LiDAR และการใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ร่วมกับการสร้างแบบจำลองสามมิติ เพื่อเพิ่มความถูกต้องแม่นยำในการตีความโครงสร้างทางธรณีวิทยาและการประเมินปริมาณทรัพยากร ทำให้โครงการเหมืองแร่ทองคำชาตรีนับเป็นกรณีศึกษาสำคัญของประเทศไทยในการสำรวจและพัฒนาเหมืองแร่ทองคำเชิงพาณิชย์ที่มีมาตรฐานระดับสากล
2. การทำเหมืองทองคำของ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน)
เหมืองแร่ทองคำใช้วิธีการทำเหมืองแบบเหมืองเปิด (Open-Pit Mining) โดยขุดเป็นบ่อเหมืองลึกลงไปจากผิวดินในบริเวณที่มีสายแร่ทองคำปรากฏอยู่ โดยนักธรณีวิทยาจะเริ่มจากการเจาะเก็บตัวอย่างสินแร่
เพื่อนำมาวิเคราะห์หาค่าความสมบูรณ์ของสินแร่ทองคำ เพื่อจำแนกคุณภาพสินแร่ออกเป็นสินแร่ทองคำเกรดสูง สินแร่ทองคำเกรดต่ำ และมูลหิน
ขั้นตอนการทำเหมืองแร่จะเริ่มที่กระบวนการสำรวจรังวัดพื้นที่ ภายหลังจากได้รับข้อมูลภูมิประเทศสำหรับพื้นที่ที่จะทำเหมืองจากการรังวัดโดยละเอียดแล้ว แผนกวางแผนและออกแบบการทำเหมืองของบริษัทจะนำข้อมูลภูมิประเทศดังกล่าว ผนวกรวมกับข้อมูลด้านความสมบูรณ์ของสินแร่ มาใช้ในการวางแผนการผลิตแร่และออกแบบบ่อเหมือง ซึ่งขั้นตอนนี้จำเป็นต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น ปริมาณและความสมบูรณ์ของสินแร่ที่จะป้อนเข้าโรงประกอบโลหกรรม ประเภทและปริมาณของเครื่องจักรที่จะใช้ในการ
ทำเหมือง ความคุ้มทุน ความปลอดภัย ข้อกำหนดและมาตรการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำเหมือง รวมถึงมาตรการการป้องกันผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่อาจจะเกิดจากการทำเหมือง เป็นต้น
เมื่อได้แผนการทำเหมืองและแบบของบ่อเหมืองแล้ว แผนกควบคุมการทำเหมืองจะใช้แผนและแบบดังกล่าวในการควบคุมการทำงานของเครื่องจักร ให้สามารถผลิตสินแร่สำหรับป้อนเข้าโรงประกอบโลหกรรม และบริหารจัดการมูลดินทิ้งให้เป็นไปตามแผนการทำเหมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในกรณีที่สินแร่แทรกตัวอยู่ในหินที่ไม่สามารถขุดตักได้ มวลหินเหล่านี้จะถูกระเบิดให้มีขนาดที่เล็กลง เพื่อให้สามารถขนใส่รถบรรทุกได้ โดยในขั้นตอนการระเบิดนั้น นอกจากจะมีการควบคุมการระเบิดโดยการใช้หน่วงเวลาระเบิดและการควบคุมปริมาณวัตถุระเบิดแล้ว บริษัทยังมีการวัดและบันทึกข้อมูลผลจากการระเบิด ทั้งในด้านแรงสั่นสะเทือนและความดังของเสียงเมื่อมีการระเบิดทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าการระเบิดเป็นไปตามข้อกำหนดมาตรฐานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ หลังจากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนการขนย้ายสินแร่ด้วยรถบรรทุกไปยังลานกองสินแร่ เพื่อรอป้อนเข้าสู่โรงประกอบโลหกรรมต่อไป สำหรับมูลหินนั้นจะถูกขนย้ายและนำไปแยกกองเก็บไว้ในพื้นที่ที่กำหนด ทั้งนี้ บริษัททำการฟื้นฟูพื้นที่ที่การทำเหมืองสิ้นสุดแล้วทันทีที่สามารถ
ทำได้โดยปลูกต้นไม้และพืชหลากหลายสายพันธุ์เพื่อปรับสภาพแวดล้อมกลับคืนสู่ธรรมชาติ
3. การประกอบโลหกรรมของ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน)
กระบวนการประกอบโลหกรรม มีรายละเอียดโดยสังเขป ดังนี้
(1) กระบวนการบดหยาบและกองเก็บสินแร่ (Crushing and Reclaim Stockpile)
สินแร่ที่ได้จากบ่อเหมืองจะถูกลำเลียงด้วยรถบรรทุก นำมาเก็บไว้บนลานกองสินแร่ ROM Pad ก่อนนำเข้าสู่กระบวนการบดหบายในส่วนของโรงประกอบโลหกรรม เมื่อสินแร่ผ่านการบดหยาบแล้ว สินแร่
จะถูกนำเลียงด้วยสายพานลำเลียงเพื่อป้อนเข้าหม้อบดสู่กระบวนการบดละเอียด
(2) กระบวนการบดละเอียด (Grinding)
เริ่มจากการนำสินแร่ที่ผ่านการบดหยาบเข้าสู่เครื่องบด SAG Mill ซึ่งทำงานร่วมกับน้ำและ
ลูกเหล็กเพื่อให้แร่มีขนาดเล็กลง จากนั้นแร่ที่ยังคงมีขนาดใหญ่จะถูกคัดแยกด้วยตะแกรงสั่นและส่งกลับไปบดซ้ำด้วยเครื่องบดสินแร่แข็ง (Pebble Crusher) ก่อนนำกลับเข้าสู่ SAG Mill อีกครั้ง สินแร่เปียกที่ลอดผ่าน
รูตะแกรงสั่นจะไหลลงสู่ยุ้งรับสินแร่เปียก โดยสินแร่เปียกที่ได้จากการบดด้วยเครื่องบดแบบ Ball Mill จะถูกนำมารวมกันในยุ้งรับสินแร่เปียกดังกล่าว และจะนำไปเข้าเครื่องคัดขนาดอีกครั้ง เพื่อทำให้สินแร่มีความละเอียดเพิ่มขึ้น โดยควบคุมให้ขนาดเล็กกว่า 75 ไมครอน ซึ่งเป็นมาตรฐานที่เหมาะสมสำหรับการเข้าสู่ขั้นตอนการสกัดโลหะมีค่าต่อไป
(3) กระบวนการชะละลายดูดซับโลหะด้วยเม็ดถ่านกัมมันต์ (Carbon-In-Leach: CIL)
เป็นขั้นตอนที่สินแร่ทองคำและเงินจะถูกละชะลายออกจากสินแร่เปียกด้วยสารละลายโซเดียมไซยาไนด์ โดยควบคุมค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ให้อยู่ระหว่าง 10.5–11 พร้อมกับการเติมออกซิเจนเหลวและอากาศแรงดันต่ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการชะละลายทองคำและเงินออกจากสินแร่ เม็ดถ่านกัมมันต์
ที่อยู่ในถังชะละลายและดูดซับโลหะแต่ละถัง จะทำหน้าที่ดูดซับโลหะทองคำและเงินออกจากสินแร่เปียก สินแร่เปียกที่ถูกชะละลายโลหะทองคำและเงินออกจากตัวสินแร่แล้วจะไหลออกจากกระบวนการชะละลายดูดซับโลหะเพื่อเข้าสู่กระบวนการตกตะกอนกากสินแร่เปียก ในขณะที่เม็ดถ่านกัมมันต์ที่ดูดซับโลหะแล้วจะถูกส่งเข้าสู่กระบวนการดึงโลหะออกจากเม็ดถ่านกัมมันต์
(4) กระบวนการดึงโลหะออกจากเม็ดถ่านกัมมันต์ (Elution)
เม็ดถ่านกัมมันต์ที่ถูกถ่ายโอนจากกระบวนการชะละลายดูดซับโลหะด้วยเม็ดถ่านกัมมันต์จะเข้าสู่การทำความสะอาดเม็ดถ่านกัมมันต์ด้วยกรดเจือจาง จากนั้นจะถูกทำความสะอาดอีกครั้งก่อนที่จะเข้าสู่การดึงโลหะออกจากเม็ดถ่านกัมมันต์ โดยสารละลายที่ใช้ในการดึงโลหะออกจากเม็ดถ่านกัมมันต์จะถูกให้ความร้อนโดยเครื่องต้มความร้อนที่ได้จากการเผาไหม้แก๊สแอลพีจี และแลกเปลี่ยนความร้อนโดยเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน ซึ่งเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อนจะทำหน้าที่ดึงความร้อนออกจากสารละลายทองคำและเงินเข้มข้นที่จะไหลเข้าสู่ถังเก็บและเข้าสู่กระบวนการแยกโลหะด้วยเซลล์ไฟฟ้าและการหลอมโลหะต่อไป
(5) กระบวนการแยกโลหะด้วยเซลล์ไฟฟ้าและการหลอมโลหะ (Electrowinning and Smelting)
สารละลายทองคำและเงินเข้มข้นจะถูกป้อนเข้าสู่เซลล์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้โลหะทองคำและเงินแยกออกจากสารละลายโดยจะไปเกาะอยู่รวมกันที่ขั้วลบของเซลล์ไฟฟ้า จนได้กระทั่งได้ความเข้มข้นที่ต้องการจึงหยุดการทำงานของเซลล์ไฟฟ้า และฉีดล้างทำความสะอาดเซลล์ไฟฟ้าเพื่อล้างโลหะออกจากขั้วลบของเซลล์ไฟฟ้าจากนั้นตะกอนโลหะทองคำและเงินจะถูกระบายออกจากเซลล์ไฟฟ้า แล้วนำไปกรองแยกน้ำก่อนนำไปอบให้แห้ง จากนั้นจะถูกนำมาหลอมให้กลายเป็นแท่งโลหะผสมทองคำและเงิน
4. ประโยชน์ของเหมืองแร่ทองคำและการใช้ประโยชน์จากแร่ทองคำ
การทำเหมืองแร่ทองคำมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ โดยประโยชน์ที่ได้รับสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
1. ประโยชน์ของเหมืองแร่ทองคำ
เหมืองแร่ทองคำก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง อาทิ การสร้างรายได้จากค่าภาคหลวง ภาษี และการส่งออก อีกทั้งยังเป็นปัจจัยกระตุ้นการลงทุนและการจ้างงาน ทั้งในกิจกรรมเหมืองแร่โดยตรงและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง เช่น การขนส่ง วัสดุก่อสร้าง และบริการทางวิศวกรรม นอกจากนี้ เหมืองแร่ทองคำยังส่งผลต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ เช่น ถนน ระบบไฟฟ้า และระบบประปา
2. การใช้ประโยชน์จากแร่ทองคำ แร่ทองคำเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในหลายด้าน ดังนี้
– ด้านเศรษฐกิจและการเงิน: ทองคำถือเป็นโลหะสื่อกลางของการแลกเปลี่ยนเงินตรา มักถูกสำรองไว้เป็นกองทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ เนื่องจากทองคำมีมูลค่าในตัวเอง ที่จะมีการปรับเปลี่ยนขึ้น-ลงได้ตลอดเวลา ดังนั้นทองคำจึงถูกนิยมนำไปเป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรของตลาดการค้า นอกจากนั้นรัฐบาลหรือหน่วยงานเอกชน ยังได้มีการจัดทำเหรียญกษาปณ์ทองคำ แสตมป์ทองคำ และธนบัตรทองคำ ในวันพิเศษต่าง ๆ เพื่อให้เกิดเป็นกระแสในการเก็บสะสมและเป็นที่ระลึก
– ด้านอุตสาหกรรมเครื่องประดับ: ใช้ผลิตเครื่องประดับที่มีมูลค่าสูงและคงทน เช่น สร้อยคอ แหวน และกำไล
– ด้านอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์: ใช้ในการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์สื่อสาร เนื่องจากทองคำมีคุณสมบัติการนำไฟฟ้าที่ดีและไม่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจน มีความทนทานต่อการผุกร่อน
– ด้านการแพทย์และทันตกรรม: ใช้ผลิตวัสดุอุดฟัน เครื่องมือทางทันตกรรม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ต้องการความคงทนและความปลอดภัยสูง
– ด้านการใช้งานเฉพาะทาง: ใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงการเคลือบผิวกระจกอาคารและยานพาหนะเพื่อลดความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน
ภาพบรรยากาศการจัดกิจกรรม


































